จะรู้ได้อย่างไรว่า “รถของเราใช้น้ำมันเบรค Dot ไหน”
สามารถตรวจสอบเองได้จากกระปุกของน้ำมันเบรค จะมีเขียนบอกไว้ รถรุ่นเก่าๆ หน่อยอาจจะใช้ Dot3 รุ่นกลาง – ใหม่ จะสามารถใช้ได้ทั้ง Dot3 และ Dot4 รถที่ใช้ Dot3 สามารถใช้ Dot4 ทดแทนได้ แต่ว่ารถที่ใช้ Dot4 ไม่สามารถลดกลับไปใช้ Dot3 เพราะจุดเดือดของ Dot3 น้อยกว่า ซึ่งอาจจะเกิดปัญหากับระบบเบรกได้ดังนั้น การเลือกใช้น้ำมันเบรค สิ่งที่พวกเราควรจะรู้ก็คือ เนื่องจากน้ำมันเบรค DOT 5 ที่มี Selicone Based oil มีคุณสมบัติที่ไม่ดูดความชื้นและแยกตัวออกจากน้ำแตกต่างจากน้ำมันเบรค DOT3, DOT4 ที่มี Glycol based oil ที่ดูดความชื้นง่ายและรวมตัวกับน้ำได้ จึงไม่สามารถผสมปนกันได้ และที่สำคัญคือ น้ำมันเบรค DOT 5 ไม่สามารถใช้ได้กับระบบเบรค ABS จึงมีน้ำมันเบรค DOT 5.1 ที่มีส่วนผสมของ Glycol Ether/Borate Ester สำหรับรถรุ่นใหม่ที่มีระบบเบรค ABS
รถยนต์โดยส่วนมาก มักจะใช้น้ำมันเบรค DOT 3 หรือ น้ำมันเบรค DOT 4 มากกว่า โดยน้ำมันเบรค DOT3 ส่วนใหญ่จะประกอบด้วย Polyalkylene Glycol Ether กับ Glycols based oil ส่วน DOT 4 จะผสม Borate Esters เพิ่มเข้าไปด้วย ซึ่งส่งผลให้มีจุดเดือดที่สูงกว่า และ DOT 4 ของผู้ผลิตหลายรายมีจุดเดือดสูงกว่า DOT 5.1
หากคุณใช้น้ำมันเบรค DOT ไหน ก็ให้ใช้เหมือนเดิมถ้าต้องการประหยัดค่าซ่อมบำรุง เพราะน้ำมันเบรคแต่ละชนิดและแต่ละ DOT ห้ามผสมหรือเจือปนเด็ดขาด เพราะจะส่งผลต่อการลดอายุการใช้งานของระบบเบรคได้ ทางที่ดี หากอยากเปลี่ยนเป็นยี่ห้อใหม่หรือเปลี่ยน DOT ก็ควรถ่ายน้ำมันเบรคของเดิมออกให้หมดก่อน และอย่าลืมจดจำเอาไว้ว่าล่าสุดใช้ยี่ห้ออะไรและ DOT เท่าไหร่ เมื่อต้องเปลี่ยนน้ำมันเบรคจะได้หาซื้อน้ำมันเบรคได้ถูกต้อง
คุณสมบัติน้ำมันเบรค ที่ดีมีอะไรบ้าง?
จุดเดือดของน้ำมันเบรค
จุดเดือดของน้ำมันเบรคเป็นจุดสำคัญที่บ่งบอกถึงคุณภาพและประสิทธิภาพของการเบรค เพราะเมื่อมีการเบรคความร้อนจะเกิดขึ้นจากการเสียดสีของผ้าเบรคกับจานเบรคหรือดรัมเบรค และความร้อนดังกล่าวก็จะถูกถ่ายทอดโดยตรงไปยังน้ำมันเบรค ทำให้น้ำมันเบรคมีอุณหภูมิสูงขึ้นมากกว่าปกติ ทำให้ต้องใช้น้ำมันเบรคที่มีจุดเดือดสูงเป็นพิเศษ ความร้อนที่เกิดขึ้นในระบบเบรคและจุดเดือดของน้ำมันเบรคเป็นสาเหตุสำคัญที่จะทำให้น้ำมันเบรคเกิดการเดือดจนกลายเป็นไอ ซึ่งทำให้เกิดฟองอากาศหรือที่เรียกว่า อาการเวเปอร์ล็อก(Vapour lock) ขึ้นในระบบเบรค ซึ่งจะเป็นอันตรายอย่างยิ่งในการขับรถ
ปฏิกิริยาที่มีซีลยาง
น้ำมันเบรคที่ดีต้องมีคุณสมบัติที่จะไม่ทำปฏิกิริยากับซีลยางและท่อยาง คือไม่ทำให้ซีซีลยางแข็งตัวหรืออ่อนตัว และที่สำคัญจะต้องไม่ทำให้ซีลยางเกิดการหดตัวหรือขยายตัวเกินขนาด หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า ซีลบวม เพราะถ้าขนาดของซีลยางเปลี่ยนไป ระบบเบรคก็อาจจะเกิดการรั่วซึมได้ง่ายขึ้น
การกัดกร่อน
น้ำมันเบรคที่ดีจะต้องมีคุณสมบัติที่ไม่ทำปฏิกิริยากับโลหะ เช่น เหล็ก ทองแดง ทองเหลือง และอลูมิเนียม และน้ำมันเบรคต้องมีสารเพิ่มคุณภาพในการป้องกันการกัดกร่อนโลหะ เนื่องจากเวลาน้ำมันเบรคดูดซึมน้ำเข้าไปจะทำให้น้ำทำปฏิกิริยากับโลหะต่างๆได้ง่าย
การหล่อลื่น
น้ำมันเบรคที่ดีต้องช่วยหล่อลื่นชิ้นส่วนที่เกิดการเคลื่อนที่ได้ และช่วยลดแรงเสียดทานที่จะทำให้ชิ้นส่วนที่เคลื่อนที่เกิดการสึกหรอน้อยลง
ความสามารถในการผสมกัน
ความสามารถในการผสมกันได้ น้ำมันเบรคที่เป็นมาตรฐานเดียวกันและผลิตจากมาตรฐานเดียวกัน จะต้องสามารถรวมตัวกันได้ดีโดยไม่ทำให้ชิ้นส่วนต่างๆ ในระบบเบรคเกิดการเสียหาย อันเนื่องมาจากปฏิกิริยาการผสมกันของน้ำมันเบรคเหล่านั้น
การดูแลรักษาเบรค
ถ้าพบว่าระดับน้ำมันเบรคพร่องลงไปจากขีดบอกระดับสูงสุด (Max) เพราะการสึกหรอของผ้าเบรค ก็อาจต้องเติมน้ำมันเบรคจนถึงระดับสูงสูด แต่ถ้าระดับน้ำมันเบรคลดลงมากเกินครึ่งจากระดับสูงสุด ต้องรีบตรวจหาสาเหตุ ซึ่งอาจจะมีจุดรั่วซึม เช่นที่ลูกยางเบรคที่ล้อ ที่ขั้วต่อของท่อเบรคจุดต่างๆ
แต่ถ้าต้องเปลี่ยนน้ำมันเบรค นอกจากยี่ห้อ ความจุ และราคาน้ำมันเบรคแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดก็คือระดับมาตรฐานของน้ำมันเบรคขวดใหม่ ซึ่งตัวน้ำมันเบรคจะมีการกำหนดค่ามาตรฐานสำหรับน้ำมันเบรคที่เรียกว่า DOT ซึ่งส่วนผสมของสารเคมีที่แตกต่าง ก็จะให้ค่าจุดเดือดที่แตกต่าง ทั้งจุดเดือดแห้งและจุดเดือดเปียก